ลักษณะของกล้วยบัวสีชมพู
ต้นกล้วยบัวสีชมพู จัดเป็นกล้วยไม้ล้มลุก มีความสูงได้ประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นอยู่ใต้ดิน กาบใบห่อหุ้มกับลำต้นเทียม ส่วนมากลำต้นเทียมจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 10 เซนติเมตร ขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อ ขึ้นได้ดีในดินทั่วไป ต้องการน้ำมากและแสงแดดจัด เมื่ออยู่ในที่รำไรลำต้นจะสูง หากอยู่ในที่กลางแจ้งต้นจะเตี้ย พรรณไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย พม่า และบังคลาเทศ
ผลกล้วยบัวสีชมพู ผลเป็นสีเขียว เมื่อสุกจะเป็นสีเหลือง เรียงชิดกันคล้ายนิ้วมือ ผลย่อยยาวประมา 6-8 เซนติเมตร มี 4-5 สัน ก้านผลนั้นสั้น ผลมีลักษณะเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนานเป็นเหลี่ยม ปลายและโคนเรียว ผิวเปลือกเรียบ หวีหนึ่งมีแถวเดียวเรียงไม่เป็นระเบียบ ข้างในผลมีเมล็ดสีดำ เมล็ดมีลักษณะเป็นเหลี่ยมและแบน
ต้นกล้วยบัวสีชมพู จัดเป็นกล้วยไม้ล้มลุก มีความสูงได้ประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นอยู่ใต้ดิน กาบใบห่อหุ้มกับลำต้นเทียม ส่วนมากลำต้นเทียมจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 10 เซนติเมตร ขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อ ขึ้นได้ดีในดินทั่วไป ต้องการน้ำมากและแสงแดดจัด เมื่ออยู่ในที่รำไรลำต้นจะสูง หากอยู่ในที่กลางแจ้งต้นจะเตี้ย พรรณไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย พม่า และบังคลาเทศ
ผลกล้วยบัวสีชมพู ผลเป็นสีเขียว เมื่อสุกจะเป็นสีเหลือง เรียงชิดกันคล้ายนิ้วมือ ผลย่อยยาวประมา 6-8 เซนติเมตร มี 4-5 สัน ก้านผลนั้นสั้น ผลมีลักษณะเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนานเป็นเหลี่ยม ปลายและโคนเรียว ผิวเปลือกเรียบ หวีหนึ่งมีแถวเดียวเรียงไม่เป็นระเบียบ ข้างในผลมีเมล็ดสีดำ เมล็ดมีลักษณะเป็นเหลี่ยมและแบน
สรรพคุณของกล้วยบัวสีชมพู
แพทย์ตามชนบทจะใช้กาบหัวปลี ผล และรากเหง้าของกล้วยบัวสีชมพู เป็นยาแก้ท้องเสียในเด็กได้เป็นอย่างดี (หัวปลี, ผล, รากเหง้า)
ประโยชน์ของกล้วยบัวสีชมพู
นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป โดยนิยมปลูกเป็นไม้ประดับมานานแล้ว ก่อนที่จะมีการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ (ตั้งในปี 1824) อันเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มีชื่อวิทยาศาสตร์ผิด โดยเฉพาะชื่อ Musa rosacea Jacq. ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงไม้ดอกไม้ประดับ นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ผสมที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกล้วยบัวสีชมพูเป็นจำนวนมาก จนทำให้ใบประดับแต่ละพันธุ์มีหลากหลายสี โดยเฉพาะพันธุ์ที่ผสมขึ้นมาเองเพื่อเป็นไม้ตัดดอกแล้วนำมาตั้งชื่อเป็น Musa ornata ตามด้วยพันธุ์ผสมอื่น ๆ เช่น African Red, Bronze, Costa Rican Stripe, Macro, Lavender Beauty, Leyte White เป็นต้น
แพทย์ตามชนบทจะใช้กาบหัวปลี ผล และรากเหง้าของกล้วยบัวสีชมพู เป็นยาแก้ท้องเสียในเด็กได้เป็นอย่างดี (หัวปลี, ผล, รากเหง้า)
ประโยชน์ของกล้วยบัวสีชมพู
นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป โดยนิยมปลูกเป็นไม้ประดับมานานแล้ว ก่อนที่จะมีการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ (ตั้งในปี 1824) อันเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มีชื่อวิทยาศาสตร์ผิด โดยเฉพาะชื่อ Musa rosacea Jacq. ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงไม้ดอกไม้ประดับ นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ผสมที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกล้วยบัวสีชมพูเป็นจำนวนมาก จนทำให้ใบประดับแต่ละพันธุ์มีหลากหลายสี โดยเฉพาะพันธุ์ที่ผสมขึ้นมาเองเพื่อเป็นไม้ตัดดอกแล้วนำมาตั้งชื่อเป็น Musa ornata ตามด้วยพันธุ์ผสมอื่น ๆ เช่น African Red, Bronze, Costa Rican Stripe, Macro, Lavender Beauty, Leyte White เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น